Tuesday, May 10, 2005

Fundamentalism - ศาสนาวิบัติ ?

ความนำ


ศาสนาใหญ่ๆ โดยมากขึ้นต้นเป็นการปฏิวัติ, แต่ต่อมาเมื่อมีคนจำนวนมากนับถือก็เปลี่ยนโฉมกลายเป็น 1) เครื่องมือของรัฐในการควบคุมสังคมบ้าง, 2) บรรษัทที่ต้องทำกำไร, และ/หรือ 3) เครื่องมือชูศักดิ์ศรีของ "เรา" และกระทืบศักดิ์ศรีของ "เขา"

ทั้งนี้ ไม่เป็นความจริงเสมอไป ทุกศาสนายังมีความดีแต่อาจจะลื่นไปในทางวิบัติได้เสมอ ทุกเมื่อ มีบางคนเห็นศาสนาเป็นเครื่องมือวิเศษที่จะดึงมาเป็นเครื่องมือสนับสนุนความคิดร้ายหรือผลประโยชน์ของตน ในขณะเดียวกัน ศาสนิกชนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต, มีความรู้และศรัทธาจริงๆ, มีหน้าที่พยายาม ดึง ศาสนา กลับ สู่คำสอนบริสุทธิ์ของพระศาสดา

ในบทความนี้ผมสนใจเฉพาะความวิบัติของศาสนาคริสต์ หรือ christian Fundamentalism ที่ทำเนียบขาวนำมาใช้เป็นอุดมการณ์ในการดำเนินสงครามในตะวันออกกลาง, ที่ประธานาธิบดี Bush (องค์ที่ 2) บังอาจเรียกว่า Crusade หรือ "สงครามมหากางเขน" แต่ก่อนจะถึงยุคปัจจุบัน ผมขอปูพื้นอดีตเสียก่อน :-

ประมาณ 3,500 ปีที่แล้ว (?) พระยาเวห์ใช้โมเสส, ศาสดาคนสำคัญของชาวยิว, นำชาวยิวออกจากความเป็นทาสในเมืองอียิปต์และตั้งเป็นชาติอิสระ ในสายตานักปกครองอียิปต์ โมเสสต้องเป็นนักปฏิวัติและผู้ก่อการร้ายแน่ๆ

ต่อมาราว 2,500 ปีที่แล้ว บรรดาศาสดาพยากรณ์ (Prophets) ประท้วงความอยุติธรรมในสังคมยิว, และท่านหนึ่ง (ผมจำชื่อไม่ได้) ถามด้วยสุรเสียงพระผู้เป็นเจ้าว่า "มึงจะให้กูพากลับไปเป็นทาสในอิยิปต์อีกหรือ ?" (ท่านผู้อ่านอย่าหวังว่า พระจะ "ตรัสสุภาพ" ในเอกสารยุคสำริด)

ราว 2,500 ปีที่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงถอดรื้อพิธีบูชายัญและระบบรวรรณะของพราหมณ์, ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าควรเรียกว่า "ปฏิวัติ" หรือ "ปฏิรูป" กันแน่ แต่พราหมณ์ส่วนใหญ่คงไม่ชื่นใจเท่าไร

ต่อมาพระพุทธศาสนาได้กลายเป็นเครื่องมือการปกครองในหลายรัฐทั่วทวีปเอเชียรวมทั้งสยาม

ผมไม่อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาในสยามจะยังดีอย่างไรหรือวิบัติอย่างไร ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษาเอาเองจากงานประพันธ์ของ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์

ราว 1,500 ปีที่แล้ว พระนาบีมุฮัมมัด เป็นนักปฏิวัติทางความคิดและสังคมของชาวอาหรับ, ท่านถึงได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง ขออภัยที่ผมไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์มุสลิมเลย, แต่เท่าที่ทราบภายในไม่กี่ชั่วคนเกิดความขัดแย้งทางการปกครองจนมุสลิมแยกเป็น "สุนนี" และ "เชียะ," เป็นแผลที่ประสารกันไม่ได้จนทุกวันนี้

ราว 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซู (ที่ชาวมุสลิมนับถือในนาม "พระนาบีอิซา") เป็นนักปฏิวัติหรือเปล่า ? จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่เราไม่อาจจะตัดสินได้ เราทราบได้เพียงว่า

1) ท่านสอนสันติภาพ, การกลับคืนดีระหว่างพระผู้เป็นเจ้าและมวลมนุษย์ และความเคารพรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน, และ 2) ท่านถูกรัฐบาลยิวจับฐาน "กวนเมือง" และถูกข้าหลวงโรมันสั่งประหารชีวิตฐาน "ขบถ"

ต่อมาอีกไม่กี่ร้อยปี ชาวคริสต์ได้อำนาจรัฐในกรุงโรมแล้วลงมือเบียดเบียนคนนอกศาสนา (Pagans) และปราบปรามชาวคริสต์ที่มีความคิดผิดแผกแตกต่าง (Heratics)

นี่คืออุดมการณ์ (ทั้งดีทั้งร้าย) ของตะวันตกตลอดจนทุกวันนี้

สรุปเบื้องต้น


ท่านผู้อ่านเริ่มเห็นไหมว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน ? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวศาสนาว่า ไหนถูก ? ไหนผิด ? ไหนดี ? ไหนชั่ว ? ปัญหาอยู่ที่ว่า ศาสนานั้นๆ ถูกใช้ในทางสฤษฎ์ (Creative) สถิต (Status Quo) หรือประลัย (Destructive) ?

ผมคิดว่า เราเห็นภาพศาสนาสามภาคนี้ได้ชัดที่สุดในโลกมุสลิม, คือ :-

1) สฤษฎ์ :- อิสลามขนานแท้สร้างสังคมเสรี แต่มีหลักการ, มีความยุติธรรมเสมอภาค, ประกอบด้วยคนมีปัญญา, เมตตา, ซื่อสัตย์, ร่าเริง ดังเช่นชาวมุสลิมทุกคนที่ผมรู้จักด้วยความเคารพรักซึ่งกันและกัน

2) สถิต :- ศาสนามุสลิมที่ตกเป็นอุดมการณ์ของรัฐ (เช่นในซาอุดีอาระเบีย ?) กลายเป็นเครื่องมือรักษาสถานการณ์ (Status Quo) ที่ผิดหลักธรรม, ประชาชนจึงเดือดร้อนและเกิดความเคียดแค้น

3) ประลัย :- ชาวมุสลิมที่ถูกเหยียดหยามและถูกทำลายอย่างแสนสาหัส (เช่น ชาวปาเลสไตน์, ชาวอิรัก, ชาวอัฟกานิสถาน และชาวตากใบ) ต่างยอมยึดศาสนาเป็นธงชัยนำสู้ เขามีเรื่องที่สมควรจะโกรธ, จึงไม่แปลกที่ท่าน "ก่อการร้าย"

(ที่ผมตีความโลกมุสลิมอย่างผิวเผินนี้, ผมขออภัย ผมติดตามเรื่องนี้เพียงตื้นๆ จึงน้อมรับฟังเสียงอาจารย์ฝ่ายมุสลิมที่ให้รายละเอียดได้ดีกว่าผม อย่างไรก็ตาม ศาสนาทุกศาสนามีภาค "สฤษฎ์," "สถิต" และ "ประลัย" พอๆ กัน, ไม่ใช่ศาสนามุสลิมอย่างเดียว)

ปัญหาอีกชั้นหนึ่งของเราคือ คำว่า Fundamentalism ซึ่งแปลตามรากศัพท์ว่า "ความเป็นพื้นฐาน" หรือ "การยึดหลักเดิม" อย่างไรก็ตาม ชาว Fundamentalist ถือว่าคำนี้หมายถึง "ความถูกต้องที่เถียงไม่ได้," ในขณะที่คนไม่ใช่ Fundamentalist ถือว่าหมายถึง "ความเชื่อล้าสมัยที่ไร้เหตุผล"


ในเมื่อเราตกลงกันไม่ได้เรื่องความหมายของศัพท์, เราก็ย่อมพูดกันรู้เรื่องได้ยาก ยิ่งกว่านั้นเมื่อ Fundamentalist เผชิญหน้ากับ Fundamentalist (ไม่ว่าจะเป็นคริสต์, มุสลิม, ยิว, ฮินดู หรืออื่นๆ) ด้วยความโกรธแค้น, ก็ย่อมไม่เกิดการสนทนาธรรม, แต่จะยิงจรวดทิ้งระเบิดกันมากกว่า

ผมไม่มีสิทธิ์สามารถชี้แนะเรื่อง Fundamentalism ในศาสนาอิสลาม Bush, Blair และ Thaksin ต่างขาดสิทธิ์ความสามารถเช่นกัน

มีแต่ชาวมุสลิมผู้หวังดีเท่านั้นที่อาจจะถางทางจากความมืดและสับสนสู่ความเข้าใจดีงามและสันติภาพ

ความส่งท้าย

ในบทความนี้ผมขอจับเรื่อง Fundamentalism ในคริสต์ศาสนา (Christian Fundamentalism), โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนานใหม่ที่เป็นที่นิยมกันในสหรัฐอเมริกาและทำเนียบขาวฉวยใช้สนับสนุนนโยบายชั่วร้ายของตน

การอ้างศาสนา (ไม่ว่าเป็นมุสลิม, คริสต์หรือยิว) เพื่อสนับสนุนการก่อการร้าย (Terrorism) หรือสงครามบุกรุก (Agressive War) ซึ่งเป็นการก่อการร้ายระดับรัฐ, เป็นบาปที่ชั่วร้ายที่สุดเพราะ :-

1) เป็นการทำย่ำยีพระศาสนาให้เสียหลัก

2) เป็นการทำลายฐานความหวังสันติสุขของมนุษยชาติ, และ

3) เป็นการย่ำยีพระเมตตาและท้าทายพระพิโรธของพระผู้เป็นเจ้า

ศาสนาวิบัติเช่นนี้, มีแต่ชาวคริสต์ผู้หวังดีเท่านั้นอาจจะสะสางได้, และยับยั้งไม่ให้มนุษยชาติเดินหลงสู่อนาคตอันวิบัติตามที่คัมภีร์พระวิวรณ์ตักเตือนไว้

เรื่องนี้ขอเขียนต่อในฉบับหน้า