Tuesday, May 10, 2005


Fundamentalism - ศาสนาวิบัติ ? (2)


ความนำ

เช่นเดียวกับศาสนาอื่น คริสต์ศาสนาในโลกนี้มาในหลายรูปแบบทั้งสฤษฏ์ (Creative) สถิต (Status Quo) และ ประลัย (Destructive) ทั้งยังมียุคประเสริฐ ยุคเสื่อม และยุคปฏิรูป หมุนเวียนไม่ขาด

ตัวอย่าง "สฤษฏ์" นั้นมีมากมาย เช่น เมื่อชาวคริสต์ตั้งใจรับพระเยซูเป็นแบบอย่างในชีวิต สละเกียรติยศ และความสะดวกสบายเพื่อคบหาช่วยเหลือคนที่ตกยาก ถูกทอดทิ้งและเหยียดหยาม อย่างนี้มีตัวอย่างชาวคริสต์กระทำไม่ขาดมา 2,000 ปี (แต่ทั้งนี้ ต้องระวังไม่นับขบวนการ "บุญปลอม" ที่สังคมจัดขึ้นมาเพื่อเสริมบารมีชนชั้นสูงและหลอกคนยากไร้ให้จำนน)

แน่นอนทีเดียว พระเยซูไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์ (เพราะมาร์กซ์ยังไม่เกิด แต่พระองค์ได้ดุว่าฝ่ายมีอำนาจวาสนาแล้วเข้าข้างและให้ศักดิ์ศรีกับบรรดาคนยากไร้ที่ถูกถีบตกระกำ

ตัวอย่าง "สถิต" คือศาสนจักรโรมันคาทอลิกในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ที่เป็นมหาอำนาจคุมบ้านเมืองทั่วยุโรป แต่วิวัฒนามาห่างเจตนารมณ์ของพระวรสารไม่น้อยทั้งในด้านความประพฤติและคำสอน

ตัวอย่าง "ประลัย" มีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ เมื่อนิกายกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดลุกขึ้นมาอ้างว่า "เราเท่านั้นบริสุทธิ์ ถูกต้อง, ใครอื่นผิดและเป็นฝ่ายซาตาน", แล้วแผลงฤทธิ์ประหัตประหารเผาผลาญกัน

อย่าว่าแต่สงครามครูเสด (คริสต์ศตวรรษที่ 11-13) ที่ศาสนจักร บุกรุกทำลายโลกมุสลิม Fundamentalism ในคริสต์ศาสนา มักพาสู่การเบียดเบียนระหว่างชาวคริสต์นิกายต่างๆ ด้วยกันอย่างแสนสาหัส

และเป็นเช่นนี้เป็นครั้งเป็นคราวตั้งแต่ชาวคริสต์ได้อำนาจรัฐใน คริสต์ศตวรรษที่ 4-5

Fundamentalism ขนานใหม่ ?

ในบทความนี้ผมสนใจ Fundamentalism ในคริสต์ศาสนาสมัยใหม่ที่กำลังกำเริบในสหรัฐ และทำเนียบขาวฉวยเป็นอุดมการณ์สนับสนุนการรณรงค์สงครามตามใจชอบ เพื่อปราบโลกให้ยอมแพ้จักรวรรดินิยมขนานใหม่ และสมยอมเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมที่ทารุณ ไร้ยางอาย ขาดศีลธรรม และสมบูรณ์เด็ดขาดสู้ไม่ได้ ยิ่งกว่าจักรวรรดิใดๆ ที่เคยมีในโลกมาก่อน

แล้วศาสนาคริสต์ (ปลอม) ที่บุชองค์ที่ 2 อวดอ้างนักหนานั้น ท่านหามาจากไหน ? ศาสนาคริสต์เทียมขนานนี้มีประวัติความเป็นมา

ประวัติ Fundamentalism ในสหรัฐ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกเสื่อมดังว่ามาแล้ว ท่านมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther คริสต์ศักราช 1483-1546) จึงก่อการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation) ที่แสวงหาคำสอนเดิมของพระเยซู ประเด็นสำคัญคือ "บุญ" และ "สวรรค์" นั้นไม่ใช่ของที่เงินซื้อได้ แต่เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์อันดีงาม

ใครจะขึ้นสวรรค์นั้นไม่ใช่เพราะอำนาจซื้อ แต่เพราะศรัทธาบริสุทธิ์สุจริต (Salvation by Faith)

ท่านจอห์น แคลวิน (John Calvin คริสต์ศักราช 1509-1564) เสริมว่า คนเราล้วนแต่บาปทั้งนั้น และ "บุญ" ที่เราทำมาไม่มีความหมาย ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสรรเพชุตาญาณ (รู้ทุกสิ่งล่วงหน้า) พระองค์ย่อมกำหนดล่วงหน้าตั้งแต่ปฐมกาลว่าใครจะตกนรกขึ้นสวรรค์ (Predestination) มนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้แต่ต้องหวังว่าพระผู้เป็นเจ้าคงทรงเมตตา

ในสมัยต่อมา เมื่อชาวโปรเตสแตนต์ได้อำนาจรัฐ ก็เข้ายุค "สถิต" และความเชื่อเปลี่ยนตาม นั่นคือ ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ใครได้ดิบได้ดีแสดงว่า "พระทรงโปรด" และใครตกยาก แสดงว่า "พระทอดทิ้ง"

ชาวผิวขาวเป็นชาติที่ "พระ" เลือกสรรให้เป็นใหญ่ และชาวผิวดำเป็นชาติที่ "พระ" กำหนดให้เป็นทาส

ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวโปรเตสแตนต์ในสหรัฐได้ปฏิรูปกันอีกครั้งหนึ่ง (The Second Great Awakening) โดยเน้น "ศรัทธา" ของ Luthe และมองข้าม "พรหมลิขิต" (Predestination) ของ Calvin แต่นั้นมาชาวโปรเตสแตนต์นิกายหลักๆ จึงสนับสนุนการปล่อยทาส ส่งเสริมการศึกษา การแพทย์ สวัสดิการและความยุติธรรมสำหรับทุกคนไม่เว้น ตามน้ำพระทัยพระเยซู

อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มไม่ยอมรับการปฏิรูปครั้งที่สองนี้ แต่ย้อนหลังยึดมั่นว่าชาติผิวขาวเป็นชาติประเสริฐที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกสรร ใครได้ดีได้ร้ายนั้นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ความคิดเสรีว่าด้วยวิทยาศาสตร์และสังคมล้วนเป็นฝีมือซาตาน ฯลฯ

นี่แหละคือ Fundamantalism ขนานใหม่ที่ห่างคำสอนและตัวอย่างพระเยซูเป็นการกลับตาลปัตร

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดา Fundamantalists ไม่ค่อยมีความสำคัญ และสังคมส่วนใหญ่ (Mainstream Society) ไม่ค่อยสังเกต เว้นแต่จะเป็นผู้ก่อการร้ายตกขอบ (Lunatic Fringe) อย่างเช่นขบวนการ Ku Klux Klan ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเบียดเบียนประชาชนผิวดำ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เทคโนโลยีและสังคมได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษ 1960 ทำให้ชาวสหรัฐหลายๆ คนตกใจกลัวและหันไปหา "จุดยืน" ที่ยึดถือได้

จุดยืนที่สะดวกที่สุดคือ Fundamantalism ซึ่งมีสูตรสำเร็จรูปว่า "เธอเป็นคนดี มีความชอบธรรม ใครไม่เห็นด้วยเป็นฝ่ายชั่วที่ต้องปราบปราม" ทั้งนี้ โดยอ้างพระคัมภีร์คำต่อคำ ตัวต่อตัว (the Letter of the Law) แต่ไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของคัมภีร์ (the Spirit of the law)

ในทศวรรษ คริสต์ศักราช 1970-80-90 Fundamantalism ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุโทรทัศน์ของสหรัฐจนมีคนหลงเชื่อเป็นจำนวนไม่น้อย

ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ ประธานาธิบดีบุช (องค์ที่ 2) กำลังฉวยลัทธิ Fundamantalism เพื่อสนับสนุนโครงการชั่วของท่านดังนี้ :-

1) เพื่อปิดบังโจรกรรมของบรรษัทพลังงาน, อาวุธ, ยุทโธปกรณ์, IT และสื่อสาร, ตลาดหลักทรัพย์ และตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ที่ต่างกำลังปล้นเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก

2) เพื่อตราหน้าฝ่ายเสรีนิยม (และแม้กระทั่งนายทุนดีๆ ที่คัดค้านทำเนียบขาว) ว่า "เป็นพวกไม่มีศาสนา, ไม่มีศีลธรรม, บ่อนทำลายชาติ" และ

3) เพื่อสนับสนุนสงครามในอิรักที่ผิดกฎหมายสากล และสหรัฐอาจจะขยายถึงแผ่นดินอื่นโดยที่สหประชาชาติยับยั้งไม่ได้

สำหรับเรื่องนี้ให้ท่านผู้สนใจอ่าน Hegemony or Survival, America"s Quest for Global Dominance ของ Noam Chomsky (Penguin, 2004) และ Dudo, Where is My Country ? ของ Michael Moore (Penguin, 2004)

ความส่งท้าย

ปัญหาสุดท้ายคือ สื่อมวลชนมักใช้คำว่า Fundamantalist อย่างสับสน คือเหมาให้ครอบทั้ง 1.ชาวคริสต์ผู้บริสุทธิ์ที่ซื่อสัตย์ต่อเจตนารมณ์ของพระศาสดา และ 2.คนใจร้ายบางกลุ่มที่มุ่งอ้างคริสต์ศาสนาเพื่อปิดบังความประพฤติชั่ว, สนับสนุนความแตกแยกเกลียดชังและรณรงค์สงครามมหาประลัย

ใครจะสะสางเรื่องนี้ ? เสียงผมไม่มีประโยชน์เพราะผมเป็นคนนอกศาสนา

มีแต่พี่น้องชาวคริสต์เท่านั้นที่สามารถสะสางความสับสนนี้ และยับยั้งไม่ให้โลกถูกฉุดไปสุ่ควาพินาศ หากรักความเป็นจริง รักความเป็นธรรม หวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ และเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า